กำแพงกันเสียง (Noise Barrier)
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ กำแพงกันเสียง (Noise Barrier) ผ่านหัวข้อหลักดังนี้:
- ประเภทของกำแพงกันเสียง
- มาตรฐานและการทดสอบกำแพงกันเสียง
- หลักการออกแบบกำแพงกันเสียง
มลภาวะทางเสียง (Noise Pollution) เป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในกระบวนการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย พื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น เช่น ทางหลวง ทางด่วน สะพานข้ามแม่น้ำ และเส้นทางรถไฟ มักประสบปัญหาเสียงรบกวนสูง การติดตั้ง กำแพงกันเสียง หรือ Noise Barrier จึงกลายเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนและปกป้องความเป็นอยู่ของชุมชนใกล้เคียง
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชน รวมถึงห้องปฏิบัติการด้านเสียง เพื่อกำหนดมาตรฐานในการออกแบบ ติดตั้ง และทดสอบกำแพงกันเสียงอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาการใช้วัสดุที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม เช่น วัสดุรีไซเคิลและวัสดุทางการเกษตร เพื่อสร้างกำแพงกันเสียงที่ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพและความยั่งยืนในการใช้งานจริง
ประเภทของกำแพงกันเสียง (Noise Barrier)
1. Reflective Barriers (กำแพงสะท้อนเสียง)
กำแพงประเภทนี้ทำหน้าที่สะท้อนเสียงกลับไปยังทิศทางที่ห่างจากพื้นที่ที่ต้องการป้องกันเสียงรบกวน
- วัสดุที่ใช้มักเป็นผิวเรียบ เช่น ซีเมนต์ผสมเส้นใย, โลหะ, หรือพลาสติกคอมโพสิต
- คุณสมบัติเด่น: การสะท้อนเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพประกอบจาก IAC Acoustics
ตัวอย่างการใช้กำแพงแบบสะท้อนเสียง
ภาพประกอบจากกรมทางหลวง
2. Absorptive Barriers (กำแพงดูดซับเสียง)
ออกแบบมาเพื่อลดการสะท้อนเสียงโดยการใช้วัสดุที่สามารถดูดซับเสียงได้ดี
- วัสดุที่ใช้ เช่น เส้นใยที่มีรูพรุนหรือแผ่นวัสดุที่ออกแบบมาให้ดูดซับเสียง
- เหมาะสำหรับ: พื้นที่ที่มีการสะท้อนเสียงสูง เช่น เขตเมือง หรือบริเวณที่มีสิ่งปลูกสร้างที่สะท้อนเสียง
ตัวอย่างการใช้กำแพงแบบดูดซับเสียง
ภาพประกอบจากกรมทางหลวง
3. Combination Barriers (กำแพงผสม)
เป็นการรวมคุณสมบัติของกำแพงสะท้อนเสียงและกำแพงดูดซับเสียงไว้ด้วยกัน
- คุณสมบัติเด่น: สามารถป้องกันและดูดซับเสียงได้ในตัวเดียวกัน
- ใช้งานได้หลากหลายสภาพแวดล้อมที่ต้องการประสิทธิภาพการลดเสียงที่สมบูรณ์แบบ
ภาพประกอบจาก IAC Acoustics
การออกแบบกำแพงกันเสียงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การออกแบบกำแพงกันเสียงที่มีประสิทธิภาพจะต้องคำนึงถึงปัจจัยสำคัญ ได้แก่:
- ความสูงและความยาวของกำแพง: การกำหนดความสูงและความยาวที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเสียง โดยพิจารณาจากแหล่งกำเนิดเสียง (Source) และตำแหน่งของผู้รับเสียง (Receiver)
- การวิเคราะห์เสียงแบบจำลอง (Acoustic Simulation): ก่อนการติดตั้งกำแพงกันเสียงในหลายโครงการ เช่น ทางหลวงหมายเลข 9 ของประเทศไทย จะมีการสร้างแบบจำลองทางเสียงล่วงหน้า เพื่อประเมินประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนในสภาพแวดล้อมจริง
- ผลลัพธ์จากแบบจำลองสามารถบ่งชี้ได้ว่ากำแพงกันเสียงที่ออกแบบจะลดระดับเสียงลงได้กี่เดซิเบล (dB)
การทำ Acoustic Simulation
กระบวนการนี้ช่วยให้มั่นใจว่ากำแพงกันเสียงที่ติดตั้งจะให้ผลลัพธ์ที่คาดหวัง โดยจำลองสถานการณ์เสียงจริง ซึ่งมีบทบาทสำคัญใน:
- การปรับปรุงการออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
- การลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ไม่จำเป็น
- การเพิ่มความแม่นยำของการวางแผนก่อสร้าง
ด้วยการวางแผนและออกแบบอย่างรอบคอบตามแนวทางดังกล่าว จะช่วยให้กำแพงกันเสียงที่ติดตั้งสามารถลดเสียงรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ภาพตัวอย่างกำแพงกันเสียงของทางหลวงในยุโรป
ภาพตัวอย่างกำแพงกันเสียงของรถไฟในสิงคโปร์
ที่มา: https://www.geonoise.com/noise-barriers-for-lta-in-singapore/
ภาพแนวทางการออกแบบกำแพงกันเสียง ในประเทศใต้หวัน ที่ป้องกันนก ไม่ให้บินเข้ามาชนกับรถที่สัญจรไปมา
ที่มา: https://www.geonoise.com/taiwan-highway-to-get-noise-barrier-to-protect-birds/
ภาพตัวอย่างการทดสอบกำแพงกันเสียในรูปแบบ in-situ ตามมาตรฐาน ISO 10847 และการทำ Acoustic simulation
การทดสอบสมบัติทางเสียงของกำแพงที่ติดตั้งจริง
สำหรับกำแพงกันเสียงที่ติดตั้งในสภาพแวดล้อมจริง สามารถทดสอบประสิทธิภาพได้โดยใช้มาตรฐานและเทคโนโลยีต่าง ๆ ดังนี้:
- การวัดค่า Sound Insertion Loss (SIL)
- เป็นการวัดค่าการลดทอนของเสียงเมื่อผ่านกำแพง
- ใช้มาตรฐานการทดสอบ ISO 10847
- วิธีการนี้เปรียบเทียบระดับเสียงก่อนและหลังการติดตั้งกำแพงเพื่อประเมินประสิทธิภาพในการลดเสียง
- การทดสอบค่า Sound Absorption แบบ In-situ
- การทดสอบในรูปแบบที่กำแพงถูกติดตั้งจริงในหน้างาน
- ใช้ เทคนิค Local Plane Wave ซึ่งอาศัย Array Microphone ในการสแกนผิวของวัสดุ
- ประเมินค่าการดูดซับเสียง (Sound Absorption) โดยตรวจวัดการดูดกลืนของคลื่นเสียง
ข้อดีของการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง
- ช่วยให้ทราบผลลัพธ์ที่แม่นยำในสภาวะการใช้งานจริง
- สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของกำแพงตามผลการทดสอบได้
- สนับสนุนการออกแบบกำแพงในโครงการถัดไปด้วยข้อมูลที่เชื่อถือได้
ประโยชน์ของเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ด้วยเทคโนโลยีการวัดที่ทันสมัย เช่น การใช้ Array Microphone และมาตรฐานการทดสอบที่ได้รับการยอมรับระดับสากล ทำให้การประเมินกำแพงกันเสียงมีประสิทธิภาพและสามารถใช้งานได้จริงในทุกสภาพแวดล้อม
ภาพการทดสอบกำแพงกันเสียงโดยใช้เครื่องมือ SONOCAT
Peeters, F., Peeters, B., & Wijnant, Y. (2016). Determination of Acoustic Properties of Noise Barriers
มาตรฐานการทดสอบกำแพงกันเสียง
การทดสอบกำแพงกันเสียงในห้องปฏิบัติการและสภาวะแวดล้อมจริง
การทดสอบในห้องปฏิบัติการ
การทดสอบกำแพงกันเสียงในห้องปฏิบัติการเน้นการประเมินความสามารถของวัสดุในการป้องกันเสียงที่ส่งผ่าน โดยใช้มาตรฐานสากล เช่น:
- ISO 10140-2
- EN 1793
- ASTM E90
ผลการทดสอบ
- ทดสอบความสามารถในการป้องกันเสียงในย่านความถี่ตั้งแต่ 125 Hz ถึง 4000 Hz (หรือช่วงความถี่ที่กว้างกว่า)
- ผลการทดสอบจะให้ค่า Sound Transmission Loss (STL) หรือ Transmission Loss (TL) แยกตามความถี่
- ค่าที่ได้จะถูกรวมและประมวลเป็น ค่าเรตติ้ง (Rating Value) ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวที่แสดงประสิทธิภาพการกันเสียงของวัสดุ
สถานที่ทดสอบในประเทศไทย
- สามารถนำกำแพงกันเสียงไปทดสอบได้ที่ ALT Acoustic Laboratory Thailand ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน
การทดสอบในสภาวะแวดล้อมจริง
เมื่อกำแพงกันเสียงถูกติดตั้งในพื้นที่ใช้งานจริง จะต้องทดสอบประสิทธิภาพการลดเสียงที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมนั้น
การทดสอบค่า Sound Insertion Loss (SIL)
- ใช้มาตรฐานการทดสอบ ISO 10847
- หลักการคือการวัดค่าความแตกต่างของระดับเสียงระหว่างสถานการณ์ที่ มีกำแพง และ ไม่มีกำแพง
- การทดสอบกำหนดตำแหน่งของไมโครโฟน จุดอ้างอิง และแหล่งกำเนิดเสียง (Sound Source) อย่างชัดเจน
ข้อสังเกตและประโยชน์
- การทดสอบในห้องปฏิบัติการเหมาะสำหรับการประเมินวัสดุในสภาพแวดล้อมควบคุม
- การทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงช่วยยืนยันว่ากำแพงสามารถลดเสียงได้ตามที่ออกแบบในสภาวะใช้งานจริง
- ทั้งสองวิธีช่วยให้มั่นใจในคุณภาพและประสิทธิภาพของกำแพงกันเสียงก่อนและหลังการติดตั้ง
ภาพประกอบจาก Acoustic Laboratory Thailand Co., Ltd.
การทดสอบคุณสมบัติการดูดซับเสียงของกำแพงกันเสียง
สำหรับกำแพงกันเสียงที่ได้รับการออกแบบให้สามารถ ดูดซับเสียง (Sound Absorption) ได้นั้น สามารถดำเนินการทดสอบในห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินประสิทธิภาพการลดเสียงสะท้อนและการดูดซับเสียงของวัสดุ โดยใช้มาตรฐานการทดสอบที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
มาตรฐานการทดสอบที่เกี่ยวข้อง
- ISO 354
- ใช้สำหรับการวัดค่าสัมประสิทธิ์การดูดซับเสียง (Absorption Coefficient) ในห้องสะท้อนเสียง (Reverberation Chamber)
- ISO 11654
- ใช้เพื่อกำหนดค่าประสิทธิภาพการดูดซับเสียงเป็นตัวเลขแบบรวม เช่น ค่า NRC (Noise Reduction Coefficient)
- ASTM E423
- มาตรฐานการทดสอบประสิทธิภาพการดูดซับเสียงสำหรับวัสดุในลักษณะคล้ายคลึงกัน
รูปแบบการทดสอบ
- ห้อง Reverberation Chamber
ห้องนี้ออกแบบมาเพื่อวัดคุณสมบัติการดูดซับเสียงของวัสดุในสภาพแวดล้อมควบคุม โดยค่าสำคัญที่ได้จากการทดสอบคือ:- ค่า NRC (Noise Reduction Coefficient): ค่าเฉลี่ยของสัมประสิทธิ์การดูดซับเสียงในช่วงความถี่ 250 Hz ถึง 2000 Hz
- ค่า Sound Absorption Coefficient: ค่าสัมประสิทธิ์การดูดซับเสียงที่แสดงตามความถี่ที่กำหนด
การทดสอบนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถระบุคุณสมบัติของกำแพงกันเสียงได้อย่างชัดเจนและนำไปใช้ในการออกแบบที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจริง.
หลักการออกแบบกำแพงกันเสียง
การออกแบบและติดตั้งกำแพงกันเสียงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อให้สามารถป้องกันเสียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในแง่ของการลดเสียงรบกวนและการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญที่ควรดำเนินการ:
1. ประเมินสถานการณ์เสียง
การประเมินสถานการณ์เสียงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการออกแบบกำแพงกันเสียง:
- การตรวจวัดระดับเสียง:
การใช้เครื่องมือวัดเสียง (Sound Level Meter) ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น พื้นที่ใกล้ถนน, ทางหลวง, หรือพื้นที่ที่มีการก่อสร้าง เพื่อวัดระดับความดังของเสียง (dB) - การประเมินจากข้อร้องเรียน:
การรวบรวมข้อมูลจากชุมชนรอบข้างเกี่ยวกับปัญหาเสียงรบกวนจะช่วยกำหนดขอบเขตและจุดที่ต้องการการป้องกัน - การวิเคราะห์และประเมินผลกระทบ:
ใช้ข้อมูลที่ได้จากการตรวจวัดเสียงเพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ผลกระทบจากเสียงในระยะยาว และช่วยในการออกแบบกำแพงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
2. เลือกวัสดุป้องกันเสียงที่เหมาะสม
วัสดุที่ใช้ในการสร้างกำแพงกันเสียงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันเสียงดัง:
- วัสดุสะท้อนเสียง (Reflective Materials):
เหมาะสำหรับการสะท้อนเสียงกลับไปยังแหล่งกำเนิดเสียง ตัวอย่างวัสดุที่ใช้ได้ เช่น ซีเมนต์ผสมเส้นใย, แผ่นโลหะ, หรือวัสดุคอมโพสิต - วัสดุดูดซับเสียง (Absorptive Materials):
ช่วยลดเสียงที่กระทบกำแพงโดยการดูดซับเสียง เช่น วัสดุที่ทำจากใยสังเคราะห์ หรือวัสดุที่มีรูพรุน - วัสดุทางเลือก (Alternative Materials):
รวมถึงวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น วัสดุผสม หรือวัสดุที่ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติการโดยตรง เพื่อตอบสนองต่อข้อกำหนดในแต่ละโครงการ
3. การใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ (SoundPLAN Modeling)
SoundPLAN เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจำลองและออกแบบกำแพงกันเสียงที่มีประสิทธิภาพสูง:
- การจำลองเสียง (Acoustic Modeling):
ใช้สำหรับการจำลองสภาพแวดล้อมเสียงในพื้นที่ที่ต้องการการป้องกัน โดยใช้ข้อมูลจากการตรวจวัดระดับเสียงมาสร้างแบบจำลองตามมาตรฐาน ISO 9613-2 - การวิเคราะห์ผลกระทบ:
การสร้างแผนที่เสียง (Noise Maps) ที่แสดงผลของการติดตั้งกำแพงกันเสียง ทั้งในส่วนที่เสียงลดลงและผลกระทบต่อชุมชน - การทดสอบความไว (Sensitivity Analysis):
ช่วยในการปรับปรุงการออกแบบโดยการวิเคราะห์ว่าการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือวัสดุของกำแพงจะมีผลต่อการลดเสียงอย่างไร
4. การปรับปรุงการออกแบบ
หลังจากการจำลองทางคณิตศาสตร์และการวิเคราะห์ผลการทดสอบ จะสามารถปรับปรุงการออกแบบกำแพงกันเสียงตามผลการวิเคราะห์ดังนี้:
- การปรับขนาดและรูปทรงของกำแพง:
การปรับความสูง ความยาว และรูปทรงของกำแพงให้เหมาะสมเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันเสียง - การเลือกวัสดุที่เหมาะสม:
หากวัสดุที่เลือกไม่สามารถลดเสียงได้ตามที่ต้องการ สามารถเลือกวัสดุที่มีคุณสมบัติการสะท้อนเสียงหรือดูดซับเสียงที่ดีกว่าได้ - การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost Analysis):
ประเมินต้นทุนการก่อสร้างและวัสดุ เพื่อให้การออกแบบไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพ แต่ยังคุ้มค่าทางเศรษฐกิจด้วย
การใช้ขั้นตอนเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้การออกแบบและติดตั้งกำแพงกันเสียงในโครงการต่าง ๆ มีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดเสียงรบกวน และสามารถตอบโจทย์ความต้องการทั้งในด้านการป้องกันเสียงและความคุ้มค่าในการก่อสร้าง
ในหลายๆโครงการที่มีการจ้างที่ปรึกษาในด้าน Acoustic ในการคำนวณและออกแบบตามหลักการที่ได้กล่าวมาในข้างต้นก็จะสามารถมั่นใจได้ว่าแนวกำแพงกันเสียงที่ติดไปมีประสิทธิภาพสูงสุด และยังช่วยประหยัดงบประมาณในส่วนที่ไม่จำเป็น